เรื่องเฉพาะสตรี...วัยทอง ตอนที่ 5
- โดย รศ.ดร.นพ.บัณฑิต ชุมวรฐายี
- 15 พฤษภาคม 2556
- Tweet
การรับประทานฮอร์โมนทดแทน
การรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เพื่อทดแทนส่วนที่รังไข่ผลิตได้ลดลง จะช่วยทำให้ร่างกายยังคงมีระดับฮอร์โมนเท่าๆเดิมอยู่ ซึ่งจะทำให้อาการผิดปกติต่างๆข้างต้นลดน้อยลงหรือหายไป
การรับประทานฮอร์โมนทดแทนมีข้อบ่งชี้อะไรบ้าง? ข้อบ่งชี้ต่างๆ ได้แก่
- บรรเทาอาการร้อนวูบในสตรีวัยทอง
- ทดแทนในรายที่เข้าสู่วัยทองเร็วเกินไป หรือเข้าสู่วัยทองจากได้รับการตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง
- ป้องกันโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยทอง
- เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตในสตรีวัยทอง
มีข้อห้ามในการรับประทานฮอร์โมนทดแทนหรือไม่? มีครับ ได้แก่
- โรคมะเร็งเต้านม
- โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
- มีอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
- โรคตับระยะเฉียบพลัน
- โรคหลอดเลือดอุดตัน
ควรรับประทานฮอร์โมนทดแทนไปนานเท่าไร?
ควรรับประทานไปนานเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการรับประทานฮอร์โมนทดแทนในสตรีรายนั้นๆครับ กล่าวคือ
- เพื่อรักษาอาการสืบเนื่องจากวัยทองที่เกิดขึ้นหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆ โดยเฉพาะอาการร้อนวูบ ก็ใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน
- เพื่อทดแทนฮอร์โมนที่ขาดไปเนื่องจากเข้าสู่วัยทองเร็วเกินไป หรือเข้าสู่วัยทองจากได้รับการตัดรังไข่ออกทั้งสองข้าง ควรใช้ต่อไปเป็นระยะเวลายาวนานหรือไม่ยังไม่เป็นที่สรุป แต่ผมเห็นว่าควรให้ไปอย่างน้อยจนถึงอายุ 50 ปี ซึ่งเป็นอายุที่หากไม่ได้รับการตัดรังไข่ออก หรือรังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควรแล้วล่ะก็ จะเป็นเวลาที่รังไข่หยุดทำงานเองตามธรรมชาติอยู่แล้วครับ
- เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนก็ต้องรับประทานไปนานประมาณ 5 ปี เป็นอย่างน้อย และควรมีแผนในการตรวจติดตาม และแผนในการหยุดยาอย่างเหมาะสม
- เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ก็ควรใช้เพียงระยะเวลาสั้นๆ และในขนาดต่ำที่สุดเท่าที่ยังได้ผลอยู่ครับ
การรับประทานฮอร์โมนทดแทนมีอาการข้างเคียงหรือผลเสียหรือไม่? มีอยู่บ้างครับ เช่น
- มีอาการเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก
- มีอาการ เต้านมคัดตึง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด แต่ก็ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด นะครับ กล่าวคือ
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น ถ้าได้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนเพียงอย่างเดียวในรายที่ยังมีมดลูกอยู่ อย่างไรก็ตาม สามารถป้องกันได้โดยการรับประทานฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (Progestogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตโรนสังเคราะห์ (Synthetic progesterone) ร่วมไปด้วยครับ พิจารณาดูได้จากตัวเลขอุบัติการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หากไม่ได้รับประทานฮอร์โมนเป็น 242.2 ราย ต่อประชากรหญิง 100,000 คน หากรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวเพิ่มเป็น 434.4 รายต่อประชากรหญิง100,000 คน แต่ถ้าหากรับประทานฮอร์โมนเอสโตเจนร่วมกับโปรเจสโตเจนแล้วละก็ จะลดลงเป็น 72.8 รายต่อ ประชากรหญิง 100,000 คน ซึ่งต่ำกว่าไม่ได้รับประทานฮอร์โมนเสียอีกครับ
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้ารับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนมานานมากกว่า 5 ปี ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนทดแทนอยู่ จึงควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน และตรวจเอกซเรย์เต้านม (การตรวจภาพรังสีเต้านม) ปีละครั้ง เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม (การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม)ให้พบเสียตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก การรักษาก็จะยังได้ผลดี
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงประมาณ 50% จากการรับประทานฮอร์โมนทดแทน ส่วนความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งรังไข่ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการรับประทานฮอร์โมนทดแทน
เอสโตรเจนจากพืช คืออะไร?
เอสโตรเจนจากพืช คือ สารที่มีคุณสมบัติของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีอยู่ในพืชผักธัญญาหารต่างๆ ยกตัวอย่างได้ดังต่อไปนี้ คือ
- ข้าวฟ่าง
- ผักแว่น
- จมูกข้าว
- ถั่วเหลือง
- ถั่วต่างๆ
ในสตรีที่มีอาการสืบเนื่องจากวัยทอง แต่ไม่ได้รับประทานฮอร์โมนทดแทน การรับประทานพืชผักธัญญาหารเหล่านี้ให้มากขึ้น อาจช่วยให้อาการผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้น ลดน้อยลงได้ครับ
บรรณานุกรม
- ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- http://www.cancer.gov/ access date 1st October, 2004.