ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids or piles)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids หรือ Piles) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบ และ/หรือการบวมของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด (Vascular structures, เนื้อเยื่อที่ประกอบด้วย หลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่มีหน้าที่ช่วยพยุงปากทวารหนักในการปิด-เปิด ถ่ายอุจจาระ กลั้นอุจจาระ และลดแรงกดทับในการนั่ง) ที่อยู่ภายในทวารหนักและรอบๆปากทวารหนัก โดยเนื้อเยื่อกลุ่มนี้มีหน้าที่ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อทวารหนักในช่วงมีการขับถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ปากทวารหนักปิดสนิทช่วงไม่ปวดถ่ายอุจจาระ

ภายในทวารหนักจะมีแนวเส้นที่เรียกว่า เส้นเด็นเทท หรือเส้นเพ็กทิเนท (Dentate line หรือ Pectinate line) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งทวารหนักออกเป็นส่วนล่างและส่วนบน (ทวารหนัก เป็นส่วนอยู่ต่อจากลำไส้ตรง โดยลำไส้ตรง คือลำไส้ใหญ่ตอนล่างสุดซึ่งเป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่ต่อกับทวารหนัก) ทั้งนี้เมื่อเกิดริดสีดวงทวารในส่วนที่อยู่ใต้ต่อเส้นเด็นเทท เรียกว่า “โรคริดสีดวงภายนอก (External hemorrhoids)” และเมื่อเกิดริดสีดวงทวารเหนือต่อเส้นเด็นเทท เรียกว่า “โรคริดสีดวงภายใน (Internal hemorrhoids)”

  • ริดสีดวงภายนอก เป็นโรคที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะอยู่รอบๆปากทวารหนัก โรคจึงวินิจฉัยได้ง่าย
  • ริดสีดวงภายใน เป็นโรคที่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ยกเว้นกรณีที่เป็นมาก และก้อนเนื้อปลิ้นโพล่ออกมานอกทวารหนัก ผู้ป่วยมักมีอาการอุจจาระเป็นเลือดสดโดยมองไม่เห็นว่ามีก้อนเนื้อ การวินิจฉัยแพทย์ต้องใช้การส่องกล้องตรวจในทวารหนัก โดยทั่วไป จะมีอาการรุนแรงกว่าริดสีดวงภายนอก

โรคริดสีดวงทวาร เป็นโรคพบบ่อยโรคหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยมีอาการจากโรคนี้ได้ประมาณ 5% ของประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด โดยพบได้สูงในช่วงอายุ 45-65 ปี (อาจพบในเด็ก และในอายุอื่นๆได้ทุกอายุ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ) โดยผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคได้ใกล้เคียงกัน

โรคริดสีดวงทวารเกิดได้อย่างไร? มีปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?

ริดสีดวงทวาร

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร เกิดจากกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ และ/หรือมีการหมุนเวียนโลหิต (เลือด) ไม่ดีจากสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงต่างๆจนก่อให้เกิดการโป่งพอง บวม อักเสบ หรือเกิดมีลิ่มเลือดในกลุ่มเนื้อเยื่อดังกล่าว ซึ่งสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย คือ

  • ท้องผูก ทำให้ต้องเบ่งอุจจาระเป็นประจำ แรงเบ่งจะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพอง หรือหลอดเลือดขอดได้ง่าย
  • ท้องเสียเรื้อรัง การอุจจาระบ่อยๆจะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด เช่นกัน
  • การนั่งนานๆ รวมทั้งนั่งถ่ายอุจจาระนานๆ จะกดทับกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จึงเพิ่มความดัน/การบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
  • อายุ ผู้สูงอายุจะมีการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ รวมทั้งของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด หลอดเลือดจึงโป่งพองได้ง่าย
  • การตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักของครรภ์จะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด เลือดจึงไหลกลับหัวใจลดลง จึงคั่งอยู่ในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดบวมพองได้ง่าย
  • โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เพิ่มแรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานสูงขึ้น เลือดจึงคั่งในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดเช่นเดียวกับในหญิงตั้งครรภ์
  • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก จึงเกิดการกดเบียดทับ/บาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดส่วนนี้เรื้อรัง จึงมีเลือดคั่งในหลอดเลือด เกิดโป่งพองได้ง่าย
  • โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด จึงเกิดภาวะเลือดคั่งในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองง่าย
  • อาจจากพันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงกว่า เมื่อครอบครัวมีประวัติเป็นโรคริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวารมีอาการอย่างไร?

โรคริดสีดวงทวารมีอาการที่พบบ่อย ดังนี้

  • อาการพบบ่อยของโรคริดสีดวงภายนอก คือ
    • มีติ่งเนื้อสีชมพูคล้ำออกมาจากปากทวารหนักเมื่อท้องผูก หรือ ท้องเสีย
    • เมื่อมีลิ่มเลือดเกิดในหลอดเลือดที่โป่งพองจะก่ออาการปวด เจ็บ บวม และก่ออาการระคายเคืองบริเวณรอบปากทวารหนัก และอาการคัน แต่มักไม่ค่อยพบมีเลือดออกจากติ่งเนื้อนี้
  • อาการพบบ่อยของโรคริดสีดวงทวารภายใน คือ
    • อุจจาระเป็นเลือด โดยไม่มีอาการปวดเจ็บ อุจจาระมักเป็นเลือดสด ออกหลังอุจจาระสุดแล้ว มักพบเลือดบนกระดาษชำระ เลือดที่ออกจะไม่ปนกับอุจจาระ มักไม่มีมูกปน และมักหยุดได้เอง อาการเหล่านี้จะเป็นๆหายๆ
    • เมื่อเป็นมาก หลอดเลือดจะบวมมาก รวมทั้งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรอบหลอดเลือดจะบวมออกมาถึงปากทวารหนัก เห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ปลิ้นโผล่ออกมานอกปากทวารหนัก ซึ่งในภาวะเช่นนี้ จะก่ออาการเจ็บปวดได้

  • ทั้งนี้ โดยทั่วไปแบ่งความรุนแรงของโรคริดสีดวงภายใน เป็น 4 ระดับตามความรุนแรง ได้แก่
    • ระดับ1 หลอดเลือดที่โป่งพอง ยังเกิดอยู่ภายในทวารหนักและลำไส้ตรง
    • ระดับ2 หลอดเลือด พร้อมเนื้อเยื่อรอบๆหลอดเลือดปลิ้นโผล่ออกมาที่ปากทวารหนักในขณะอุจจาระ แต่ก้อนเนื้อนี้สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เองหลังสิ้นสุดอุจจาระ
    • ระดับ3 ก้อนเนื้อไม่กลับเข้าภายในทวารหนัก หลังสุดอุจจาระแล้ว แต่สามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปได้
    • ระดับ4 ก้อนเนื้อกลับเข้าไปภายในทวารหนักไม่ได้ ค้างอยู่หน้าปากทวารหนัก ถึงแม้จะใช้นิ้วช่วยดันแล้วก็ตาม ซึ่งระยะนี้ผู้ป่วยจะเจ็บปวดมาก และควรต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉิน ก่อนที่ก้อนเนื้อจะเน่าตายจากการขาดเลือด

    แพทย์วินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารได้อย่างไร?

    แพทย์วินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารได้จาก ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจบริเวณก้อนเนื้อ/ทวารหนัก และการส่องกล้องตรวจทวารหนักและลำไส้ตรง ในบางครั้งอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เมื่อต้องแยกจากโรคมะเร็ง

    รักษาโรคริดสีดวงทวารได้อย่างไร?

    แนวทางการรักษาโรคริดสีดวงทวาร ได้แก่ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร และการใช้ยาต่างๆ เช่น ยาทาลดอาการคัน ยาเหน็บทวารลดอาการบวม ปวด และยาแก้ปวด เป็นต้น

    แต่เมื่อการรักษาในลักษณะประคับประคองไม่ได้ผลภายในระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ การรักษาขั้นต่อไป คือ การรักษาทางศัลยกรรม ที่มีหลายรูปแบบ เช่น การจี้ด้วยไฟฟ้า หรือ เลเซอร์ การฉีดยาเข้าหลอดเลือด เพื่อให้หลอดเลือดยุบแฟบ การผูกหลอดเลือด หรือการผ่าตัดหลอดเลือด ทั้งนี้ ขึ้นกับความรุน แรงของโรค ข้อบ่งชี้ และดุลพินิจของแพทย์

    มีผลข้างเคียงจากโรคริดสีดวงทวารอย่างไร?

    ผลข้างเคียง (ผลแทรกซ้อน)จากโรคริดสีดวงทวาร ได้แก่

    • ภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ทั้งนี้เพราะกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด เหล่านี้ มีหน้าที่ช่วยการปิดตัวของหูรูดปากทวารหนักในภาวะไม่อุจจาระ เมื่อเกิดหลอดเลือดโป่งพอง หูรูดปากทวารหนักจึงปิดไม่สนิท จึงเกิดการกลั้นอุจจาระไม่อยู่
    • ภาวะซีด เมื่อมีเลือดออกจากกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดเรื้อรัง หรือบางครั้งเลือด ออกมากและไม่สามารถหยุดเองได้ ต้องรีบพบแพทย์เป็นการฉุกเฉิน
    • การติดเชื้อ อาจเกิดเป็นฝี หรือหนองในบริเวณก้นได้
    • เมื่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดปลิ้นออกนอกทวารหนักในระดับ 4 ซึ่งเป็นสาเหตุให้หลอดเลือดขาดเลือด เกิดการเน่าตายของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บ ปวดอย่างมาก ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องพบแพทย์ เช่นกัน

    โรคริดสีดวงทวารรุนแรงไหม?

    โรคริดสีดวงทวาร เป็นโรคมีการพยากรณ์โรคที่ดี/ไม่รุนแรง มักไม่เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต แต่เป็นโรคเรื้อรัง ก่ออาการเป็นๆหายเมื่อยังไม่สามารถควบคุมสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงได้จึงส่งผลถึงคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว

    อนึ่ง ยังไม่มีการศึกษาที่รายงานว่า ริดสีดวงทวารกลายเป็นมะเร็งทวารหนัก หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นคนละโรคที่ไม่เกี่ยวพันกัน เป็นเพียงมีอาการบางอาการที่คล้ายกัน เช่น อุจจาระเป็นเลือด มีลักษณะคล้ายก้อนเนื้อ ดังนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าว จึงควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์ให้การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง

    ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

    การดูแลตนเองเมื่อเป็นริดสีดวงทวาร และการพบแพทย์ ได้แก่

    • ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลแนะนำ
    • ใส่ยาทาบริเวณก้น/บริเวณริดสีดวง หรือ เหน็บยาตามแพทย์แนะนำ
    • กินยาต่างๆ รวมทั้งยาแก้ปวดตามแพทย์แนะนำ
    • ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม เช่น หัวใจล้มเหลว เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่ม และขับถ่ายออกได้ง่าย
    • กินผัก ผลไม้ชนิดมีกากใยสูงมากๆ เช่น ฝรั่ง แอบเปิล มะละกอสุก เพื่อป้องกันท้องผูก
    • ฝึกอุจจาระให้เป็นเวลา ไม่กลั้น และไม่เบ่งอุจจาระ
    • นั่งแช่น้ำอุ่นเสมอ อาจเป็นเพียงน้ำอุ่นธรรมดา หรือ น้ำด่างทับทิมอุ่น หรือ อื่นๆ ตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ ครั้งละ 10-15 นาที่ วันละประมาณ 2-3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และอาการบวมได้ดี
    • เมื่อมีก้อนเนื้อบวมออกมาบริเวณก้น อาจประคบด้วยน้ำเย็น ซึ่งอาจช่วยลดบวมได้
    • ล้างบริเวณก้นด้วยน้ำอุ่น หรือ น้ำสะอาด รักษาให้สะอาดเสมอ แพทย์หลายท่านแนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ แต่ถ้าผู้ป่วยอยากใช้สบู่ ควรเป็นสบู่เด็กอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่กำลังบวม หรือมีการอักเสบ
    • เมื่ออุจจาระ/ปัสสาวะ ไม่ควรทำความสะอาดด้วยกระดาษชำระที่แข็ง ควรชุบน้ำ หรือ ใช้กระดาษชำระชนิดเปียก (มีขายในท้องตลาดแล้ว)
    • พยายามฝึกไม่เบ่งอุจจาระ
    • ไม่ควรนั่ง หรือ ยืนนานๆ รวมทั้งนั่งส้วมนานๆ ไม่นั่งอ่านหนังสือนานๆขณะอุจจาระ
    • ลดความอ้วน
    • เมื่อเลือดออกมาก ใช้ผ้าขนหนูสะอาดกดบริเวณก้นไว้ให้แน่น ถ้าเลือดไม่หยุด ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉิน
    • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ และรีบพบก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือ เมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือเมื่อกังวลในอาการ
    • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉินเสมอเมื่อ เลือดออกทางก้นไม่หยุด หรือ เมื่อก้อนเนื้อไม่สามารถกลับเข้าไปในทวารได้ อย่าพยายามออกแรงดันก้อนเนื้อ เพราะจะทำให้ก้อนเนื้อได้รับบาดเจ็บและบวมมากขึ้น

    ป้องกันโรคริดสีดวงทวารอย่างไร?

    วิธีป้องกันริดสีดวงทวาร คือ วิธีการเดียวกับในการดูแลตนเอง ที่สำคัญ ได้แก่

    • ป้องกันท้องผูกด้วยวิธีต่างๆดังกล่าวแล้วในหัวข้อการดูแลตนเอง
    • ไม่นั่ง ยืนนานๆ ไม่นั่งอ่านหนังสือนานๆขณะอุจจาระ
    • เคลื่อนไหวร่างกายเสมอ
    • ฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ และไม่เบ่งอุจจาระ
    • ลดความอ้วน

    บรรณานุกรม

    1. Jacobs, D. (2014). Hemorroids. NEJM. 371, 944-951
    2. Mounsey, A., Halladay, J., and Sadiq, T. (2011). Hemorrhoids. Am Fam Physician. 84, 204-210.
    3. http://en.wikipedia.org/wiki/Pectinate_line [2018,June16]
    4. http://en.wikipedia.org/wiki/Hemorrhoid [2018,June16]
    5. http://emedicine.medscape.com/article/775407-overview#showall [2018,June16]
    Updated 2018,June16