ฝีฝักบัว (Carbuncle)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง
  • โรคผิวหนัง (Skin disorder)
  • โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
  • แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
  • ไข้ อาการไข้ ตัวร้อน (Fever)
  • ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia)
  • โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
  • โรคตับ (Liver disease)
  • เบาหวาน (Diabetes mellitus)
  • ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants or Immunosuppressive agents)
  • บทนำ: คือโรคอะไร?

    ฝีฝักบัว (Carbuncle) คือโรคจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด สแตฟฟีโลคอกคัส(Staphylococcus) และ/หรือชนิด สเตรปโตคอกคัส(Streptococcus)ที่ต่อมไขมันและที่ขุมขนของผิวหนัง ที่ลุกลามจนรวมกันเป็นกลุ่มก้อน มีหนองสะสมจนมีลักษณะเป็นก้อนหนองเรียกว่าเป็น “ฝีฝักบัว”

    ปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาอัตราการเกิดอย่างชัดเจนของฝีฝักบัว แต่เป็นโรคที่เกิดได้ในทุกเพศและในทุกวัย

    อนึ่ง จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 “ฝีฝักบัว” หมายถึง ฝีชนิดหนึ่ง มักขึ้นตามหลังและต้นคอ มีลักษณะเหมือนฝักบัว มีหัวหลายหัว ส่วนคำว่า “ฝี” หมายถึง โรคจำพวกหนึ่งเป็นต่อมบวมขึ้นกลัดหนองข้างใน

    ฝีฝักบัวเกิดได้อย่างไร?

    ฝีฝักบัว

    ฝีฝักบัวเริ่มต้นจากผิวหนังมีรอยถลอกบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น จากการเกา การเสียดสี การ สัมผัสสิ่งสกปรกต่างๆจากมือสัมผัสรอยบาดเจ็บ จากนั้นรอยบาดเจ็บนั้นจะติดเชื้อแบคที่เรียชนิดที่ก่อโรคฝีฝักบัวดังกล่าวในบทนำ เชื้อแบคทีเรียนั้นๆจึงเข้าสู่ผิวหนัง ลุกลามรุนแรงเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังที่มีลักษณะเป็นก้อนหนองมีหลายหัวที่เรียกว่า ฝีฝักบัว

    ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดฝีฝักบัว?

    ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดฝีฝักบัว ได้แก่

    • ขาดการรักษาสุขอนามัยตนเอง
    • ผู้ป่วยเบาหวาน
    • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
    • โรคตับเรื้อรัง
    • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น ติดเชื้อเอชไอวี, กินยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (เช่น ในผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ)
    • ผู้ที่ไม่รักษาความสะอาดในการ โกน ขน ผม หนวด เครา

    ฝีฝักบัวติดต่ออย่างไร?

    ฝีฝักบัว ไม่ใช่โรคติดต่อ การเกิดโรคอาศัย 2 ปัจจัยคือ

    • การบาดเจ็บที่ผิวหนังที่เกิดอยู่ก่อน และ
    • เชื้อก่อโรค (เชื้อแบคทีเรีย) ที่อยู่ที่ผิวหนัง

    อย่างไรก็ดี ทั้งผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิดควรล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดปริมาณเชื้อก่อโรคนี้

    ฝีฝักบัวมีอาการอย่างไร?

    ฝีฝักบัวมีอาการเป็น

    • ผื่นแดง แข็ง เจ็บ ประกอบกับต่อมขุมขนที่อักเสบติดเชื้อหลายๆอันมารวมกันอยู่ในผิวหนังชั้นลึก
    • ที่ผิวหนังด้านบนจะมองเห็นผิวแดงอักเสบ
    • มีตุ่มหนองหลายตุ่มตามรูขุมขนมองดูคล้าย “ฝักบัว”
    • ต่อมาตุ่มหนองจะแตกออกเป็นหนองไหลออกมา
    • โรคจะหายอย่างช้าๆ และเกิดเป็นแผลเป็นตามมา

    ฝีฝักบัวนี้มักพบที่บริเวณ ต้นคอ, ต้น, ด้านหลัง, และในรายที่ติดเชื้อมากอาจมีอาการไข้และ อ่อนเพลียร่วมด้วย

    แพทย์วินิจฉัยฝีฝักบัวได้อย่างไร?

    แพทย์สามารถวินิจฉัยฝีฝักบัวได้จาก

    • ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง และอาการร่วมต่างๆ ดังกล่าวใน ‘หัวข้อ อาการฯ’
    • การตรวจร่างกาย
    • การตรวจรอยโรค ด้วยการดู/คลำตำแหน่งรอยโรค
    • และแพทย์สามารถระบุชนิดของเชื้อก่อโรคได้จากการส่งหนองจากแผลเพื่อการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อ การตรวจเชื้อ และ การตรวจเพาะเชื้อ

    ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

    หากมี ตุ่ม ผื่น แดง เจ็บ มีหนองที่สงสัยเป็นฝีฝักบัว หรือผิวหนังเป็นแผลติดเชื้อ สามารถพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลได้ทันที เพื่อการตรวจร่างกาย การตรวจรอยโรค เพื่อวินิจฉัยและได้รับการรักษา

    รักษาฝีฝักบัวอย่างไร?

    ฝีฝักบัวรักษาด้วย

    • การรับประทานยาปฏิชีวนะนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ โดยชนิดของยาปฏิชีวนะ ขึ้นกับความรุนแรงของรอยโรค ดังนั้นจึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา
    • และหากแผลที่มีหนองคั่งค้าง หรือ มีเนื้อตาย อาจต้องทำการผ่าตัดเนื้อตายและระบายหนอง แต่ห้ามทำเองเด็ดขาด ต้องทำโดยแพทย์หรือพยาบาลที่ได้รับการฝึกฝน เนื่องจากจะทำให้เชื้อแพร่กระจายมากขึ้น
    • นอกจากนั้นคือ การรักษาตามอาการ เช่น
      • กินยาแก้ปวด ยาลดไข้
      • และการรักษาความสะอาดบริเวณรอยโรค เช่น การทำความสะอาดด้วยสบู่อ่อนที่มี ยาฆ่าเชื้อ, ร่วมกับ ทายาฆ่าเชื้อชนิดครีมหลังทำความสะอาดแล้ว

    ฝีฝักบัวก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

    รายที่มีการติดเชื้อลุกลาม ฝีฝักบัวอาจก่อผลข้างเคียงจากทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังเป็นวงกว้างส่งผลให้

    • มีไข้
    • อ่อนเพลีย
    • การติดเชื้ออาจลุกลามเป็นการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง เช่น กระดูก เกิดกระดูกอักเสบ
    • มีการติดเชื้อในกระแสโลหิต เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด)
    • เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด ก่อการติดเชื้อของเยื่อบุหัวใจ เกิดเป็นเยื้อบุหัวใจอักเสบ และ/หรือ
    • เมื่อแผลหายจะกลายเป็นแผลเป็นได้

    ฝีฝักบัวมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

    โดยทั่วไป ฝีฝักบัว มีการพยากรณ์โรคที่ดี หลังได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะโรคมักหายดี แต่หลังโรคหายอาจเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้

    แต่ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ฝีฝักบัวอาจลุกลามส่งผลข้างเคียงดังกล่าวใน ‘หัวข้อ ผลข้างเคียง’ ได้เช่น ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคไตเรื้อรัง, โรคตับเรื้อรัง

    ดูแลรักษาตนเองอย่างไร?

    เมื่อเป็นฝีฝักบัวการดูแลรักษาตนเองที่บ้านคือ

    • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
    • กินยา/ใช้ยาตามแพทย์สั่งให้ครบถ้วน ไม่หยุดยาเองแม้ฝีจะยุบหมดแล้ว
    • รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ปกติด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้น ฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
    • รักษาควบคุมโรคประจำตัวต่างๆให้ได้ดี
    • รักษาสุขอนามัยของผิวหนังตามปกติ ใช้สบู่ทำความสะอาดเมื่ออาบน้ำ อาจใช้สบู่อ่อนที่มีส่วนผสมยาฆ่าเชื้อ
    • ล้างมือบ่อยๆ รักษาความสะอาดมือเสมอ
    • ไม่แกะเกาผิวหนังให้บาดเจ็บเป็นทางเข้าของเชื้อโรค ตัดเล็บให้สั้น
    • ไม่บีบหรือเจาะหนองเอง
    • ประคบอุ่น/ประคบร้อนที่รอยโรควันละ 3 - 4 ครั้งจะช่วยให้หนองแตกระบายได้ดี
    • ทำแผลเมื่อหนองแตกวันละ 2 – 3 ครั้ง ใช้อุปกรณ์ทำแผลที่สะอาดปราศจากเชื้อโรค ควรปรึกษาเรื่องการดูแลแผลจากสถานีอนามัยหรือจากโรงพยาบาลใกล้บ้าน
    • รักษาความสะอาดเครื่องใช้ส่วนตัวเช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
    • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัด กรณีได้พบแพทย์ในการรักษาแล้ว

    เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?

    เมื่อเป็นฝีฝักบัวควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ

    • รอยโรค แดง ขยาย ลุกลามขึ้น
    • มีไข้
    • รอยโรคไม่ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์
    • กังวลในอาการ

    ป้องกันเกิดฝีฝักบัวอย่างไร?

    ป้องกันฝีฝักบัวได้โดย

    • รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ปกติด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้น ฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
    • รักษาความสะอาดผิวหนังเสมอ
    • ล้างมือบ่อยๆ
    • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเช่น ผ้าเช็ดตัว กางเกงใน
    • รักษาความสะอาดในการโกนผม ขน ฯลฯ
    • รักษาควบคุม โรคเรื้อรัง, โรคประจำตัวให้ได้ดี

    บรรณานุกรม

    1. ปรียากุลละวณิชย์,ประวิตร พิศาลยบุตร .Dermatology 2020:ชื่อบท.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ:โฮลิสติก,2555อภิชาติ ศิวยาธร . โรคผิวหนังต้องรู้สำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป . พิมพ์ครั้งที่ 5 .สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน
    2. Lowell A. Goldsmith,Stephen I. Katz,Barbara A. Gilchrest,Amy S. Paller,David J.Leffell,Klaus Wolff.Fitzpatrick’s dermatology in general medicine :chapter.eight edition.McGraw-Hill.2012
    3. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/boils-and-carbuncles/symptoms-causes/syc-20353770 [2021,May29]
    4. https://www.nhs.uk/conditions/boils/ [2021,May29]