น้ำยาอนามัยสตรี สบู่เหลวอนามัยสตรี (Feminine Hygiene)

บทความที่เกี่ยวข้อง

น้ำยาอนามัยสตรี หรือ สบู่เหลวอนามัยสตรี เป็นน้ำยาที่ใช้ล้างเฉพาะที่ (อวัยวะเพศ) สำหรับคุณผู้หญิง หากจะถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องใช้น้ำยาอนามัย โดยทั่วไปในสภาพอากาศเมืองร้อนอย่างบ้านเรา เพียงแค่การอาบน้ำชำระร่างกาย และทำความสะอาดด้วยสบู่ชนิดอ่อนโยนต่อผิว (เช่น สบู่เด็กอ่อน) วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น (ก่อนนอน) ก็เป็นการเพียงพอแล้ว สำหรับการรักษาความสะอาดทั้งสุขภาพภายนอกและสุขภาพภายในของอวัยวะเพศ

ดังนั้น จึงอาจพูดได้ว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้น้ำยาอนามัยในชีวิตประจำวัน

ประเภทของน้ำยาอนามัยสตรี (Type of Feminine Hygiene)

สามารถแบ่งประเภทน้ำยาอนามัยสตรีออกเป็น 2 อย่าง/ประเภท ตามลักษณะการใช้ คือ น้ำยาอนามัยแบบใช้ล้างภายนอก และ น้ำยาอนามัยแบบที่ใช้สวนล้างภายใน

ก. น้ำยาอนามัยแบบใช้ล้างภายนอกนั้น ส่วนมากจะมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งนิยมใช้กรดแล็กติก (Lactic Aicd) แล้วผสมกับสารที่ช่วยให้เกิดฟองลื่น และเติมสีกลิ่น บางชนิดอาจเติมสารต่างๆ เช่น คอลลาเจน น้ำยาฆ่าเชื้อ สารให้ความชุ่มชื้น หรือแม้กระทั่งชาเขียว ฯลฯ

ข. น้ำยาอนามัยแบบที่ใช้สวนล้างภายใน ยังแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ 1. แบบที่เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ กับ 2. แบบที่เป็นเพียงกรดอ่อนๆ

อนึ่ง:

  • สิ่งที่ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้น้ำยาอนามัย เพื่อรักษาความสะอาดบริเวณจุดสงวน คือ “อาการแพ้” ยิ่งน้ำยาอนามัยที่มีการเติมสี กลิ่น และสารต่างๆลงไปมากเท่าใด โอกาสที่จะเกิดการแพ้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะบริเวณจุดสงวนของผู้หญิงเป็นส่วนที่บอบบาง และไวต่อสารต่าง ๆที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
  • เมื่อเริ่มใช้น้ำยาอนามัยสตรีครั้งแรก ให้ลองใช้แต่น้อยๆ ทำให้เจือจางด้วยน้ำประปาสะ อาดก่อน หากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ค่อยใช้ไปตามปกติ (ถ้าเกิดอาการผิดปกติ ก็ควรเลิกใช้)
  • ให้ใช้น้ำยาอนามัยสตรี แต่พอดี อย่าใช้บ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ใช้นั้นเกิดอาการแห้ง ลอกเป็นขุย แสบ และอาจเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
  • การใช้น้ำยาอนามัยสตรี ให้ใช้ล้างแบบภายนอกเพื่อความรู้สึกสะอาดสบายตัว ไม่แนะ นำให้ใช้สวนล้างภายใน (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การสวนล้างช่องคลอด) ด้วยเหตุผลที่ว่าภายในช่องคลอดของผู้หญิงจะมีระบบทำความสะอาดในตัวเองอยู่แล้ว กล่าวคือ จะมีแบคทีเรียชนิดดีที่จะควบคุมแบคทีเรียชนิดร้ายและเชื้อราในช่องคลอด ด้วยการสร้างกรดแล็ค ติค ออกมาควบคุมแบคทีเรียชนิดร้ายและเชื้อรา ซึ่งเป็นคนละตัวกับกรดแลคติกที่สบู่เหลวอนามัยสตรี/น้ำยาอนามัยสตรีทั่วไปใช้เป็นส่วนผสม โดยกรดแลคติกในสบู่เหลวที่ว่านี้ สกัดมาจากน้ำนมหรือน้ำผลไม้ ซึ่งมักไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียทั้งชนิดดีและชนิดไม่ดีหมด คือมันไม่ได้เลือกฆ่าเฉพาะชนิดไม่ดี จึงทำให้จุดซ่อนเร้น อ่อนแอ ติดเชื้อง่าย เกิดการอักเสบบ่อยๆ นี่คือสาเหตุหนึ่งที่สูตินรีแพทย์ไม่แนะนำให้ผู้หญิงใช้สบู่เหลวอนามัยสตรี/น้ำยาอนามัยสตรี เพราะการสวนล้างภายใน/การสวนล้างช่องคลอด อาจทำให้เกิดการเสียสมดุลของแบคทีเรียทั้งสองชนิด จนทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อและลุกลามเข้าไปในปากมดลูก ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย)

วิธีเลือกน้ำยาอนามัยสตรี

ส่วนการเลือกน้ำยาอนามัยสตรีชนิดไหนนั้น แนะนำว่าให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และควรเป็นชนิดอ่อนโยนต่อผิวของจุดซ่อนเร้น และต้องอ่านฉลาก พิจารณาส่วนประ กอบต่างๆในสูตรตำรับ และอ่านคำเตือนก่อนใช้ด้วย

***** อนึ่ง

  • ห้ามใช้น้ำยาอนามัยสตรีที่หมดอายุ
  • ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมถึงน้ำยาอนามัยสตรีด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้ คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยา ทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยา ทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

วิธีดูแลจุดซ่อนเร้น

วิธีดูแลจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธี ได้แก่

  1. ควรทำความสะอาดจุดซ้อนเร้นเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยน้ำสะอาด หรือ สบู่เหลวสำหรับจุดซ่อนเร้น/สบู่เหลวอนามัยสตรี/น้ำยาอนามัยสตรี ที่มีค่าพีเอช (pH, ภาวะความเป็นกรดด่าง) เป็นกรดอ่อนๆจากกรดน้ำนม และใช้น้ำพออุ่นๆในการชำระล้าง เนื่องจากอาจมีคราบเหงื่อ หรือคราบสารคัดหลั่งมาเกาะอยู่ น้ำพออุ่น จึงมีประสิทธิภาพในการชำระล้าง
  2. หลังจากทำความสะอาดแล้ว ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆและสะอาด ไม่ควรถูแรง เพราะอาจทำให้เกิดแผลถลอกได้ ซึ่งอาการระคายเคือง ไม่สบายผิวจะตามมา
  3. ไม่ควรโรยแป้งฝุ่นตรงบริเวณนั้นมากๆ เพราะนอกจากจะทำให้ฝุ่นแป้งเกาะตามขนและเนื้อเยื่อ จนเกิดความไม่สะอาด และยังอาจก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งรังไข่ได้ เนื่องจากฝุ่นแป้ง(อาจเป็นสารก่อการระคายเคืองต่ออวัยวะภายใน จนทำให้เซลล์อวัยวะภายในเกิดการอักเสบ และเปลี่ยนแปลง) อาจถูกดูดเข้าไปในช่องคลอด และอาจถึง ปากมดลูก โพรงมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ ได้
  4. สำหรับตอนกลางคืน ถ้าไม่จำเป็นอะไร ก็ไม่ต้องใส่ชุดชั้นในนอนก็ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้จุดซ่อนเร้นได้ผ่อนคลายจากการเสียดสี และความอับชื้นบ้าง
  5. บริเวณมีประจำเดือน อย่าล้างน้ำ หรือฉีดน้ำสวนเข้าไป เพราะอาจทำให้สิ่งสกปรกย้อนกลับเข้าไปในช่องคลอด เกิดการอักเสบติดเชื้อภายหลังได้
  6. อย่าล้าง หรือทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยสบู่ที่มีค่าพีเอชสูงๆ หรือน้ำยาที่มีฤทธิ์รุนแรง หรือผสมเครื่องสำอางที่ให้กลิ่นรุนแรง เพราะจะไปทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรอย่างแลคโตบาซิลไล(Lactobacilli) ได้ ทำให้จุดซ่อนเร้นเสียสมดุล และทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้มากมาย
  7. กรณีที่พบว่าเกิดการติดเชื้อที่จุดซ่อนเร้น วิธีที่ดีที่สุดคือควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และเมื่อหายดีแล้ว ก็ควรดูแลเอาใจใส่บริเวณจุดซ่อนเร้นของคุณเป็นอย่างดี
  8. การใช้น้ำยาอนามัยในหญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็ใช้น้ำยาอนามัยชนิดล้างภายนอกก็เพียงพอ ส่วนการใช้น้ำยาอนามัยในเด็ก ยังไม่แนะนำให้ใช้

บรรณานุกรม

1. http://www.freedaclub.com/page13.html [2014,May16].
2. http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=13006&gid=5 [2014,May16].
3. http://patients.dartmouth-hitchcock.org/gynecology/vulvar_care.html [2014,May16].