ครั้งแรกของโลก - ไทยพบยีนเสี่ยงดื้อยาต้านเอดส์ (ตอนที่ 2)

ยาเอฟาวิเรนซ์ (Efavirenz) หรือชื่ออื่น Sustiva และ Stocrin อยู่ในกลุ่มยายับยั้ง (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitor : NNRTI) และใช้เป็นหนึ่งในตัวยาต้านไวรัสที่ได้ผลดี (Highly active antiretroviral therapy) สำหรับรักษาผู้ป่วย HIV ชนิดที่ 1

การรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ตามคำแนะนำต้านไวรัส (Antiretroviral Guidelines) ของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐอเมริกา (United States Department of Health and Human Services) ก่อนหน้านี้คือ ใช้ยาเอฟาวิเรนซ์ ร่วมกับยาอื่นๆ ในผู้ใหญ่หรือวัยรุ่นที่ตอบสนองต่อยานี้

แพทย์ใช้ ยาเอฟาวิเรนซ์ รวมกับยาต้านไวรัสตัวอื่นเพื่อเพิ่มชนิดของยา สำหรับป้องกันหลังสัมผัสเชื้อ HIV โดยลดการติดเชื้อสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ใช้เข็มฉีดยา หรือ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยที่ขนาดปกติของยา คือ 600 มิลลิกรัมวันละครั้ง ปกติให้กินตอนท้องว่างก่อนนอน เพื่อลดผลข้างเคียงทางระบบประสาท และจิตใจ

ยาเอฟาวิเรนซ์ จัดอยู่ในยาที่เป็นที่รู้จักกันดีคือยา Truvada ซึ่งได้รับการรับรองเป็นกลุ่มยายับยั้ง (Transcriptase inhibitor) จากคณะกรรมการอาหารและยา (US Food and Drug Administration : FDA) ของสหรัฐอเมริกาแล้ว ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ภายใต้ชื่อการค้า Atripla โดยได้รับการผลิตให้เป็นเม็ดเดียว ทำให้กินง่ายขึ้น อันที่จริงยาตัวนี้ได้รับการอนุมัติเป็นยาต้านไวรัส จาก FDA ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2541 และนับเป็นยาต้านไวรัสตัวที่ 14 ที่รับการอนุมัติ

แพทย์จะไม่ใช้ยาเอฟาวิเรนซ์ตามลำพัง ต้องรวมกับตัวยาอื่นเสมอ เมื่อตัดสินใจเริ่มทำการรักษา แพทย์ต้องตรวจค่า CD (Cluster of Differentiation 4 ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในเซลล์ภูมิคุ้มกัน) ปริมาณเชื้อไวรัส ประวัติการรักษา ประวัติการดื้อยา และการตอบสนองของคนไข้

ผลการศึกษาวิจัย พบว่ามีการใช้ยาเอฟาวิเรนซ์ เป็นลำดับแรกในการรักษาบ่อยกว่ายาอื่นๆ ในกลุ่มยายับยั้ง และอีกการทดลองหนึ่งได้แสดงว่า ยาเอฟาวิเรนซ์ สามารถรักษาระดับจำนวน CD4 และปริมาณไวรัส HIV ได้

ยาเอฟาวิเรนซ์ มีการออกฤทธิ์ (Mode of action) โดยไปยับยั้งที่เป้าหมายเหมือนกันคือ เอนไซม์ Reverse transcriptase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไวรัสใช้เปลี่ยน RNA (= Ribonucleic acid หรือกลุ่มโมเลกุลที่ใส่รหัสและถอดรหัส จีน/ยีน) เป็น DNA (=Deoxyribonucleic acid หรือโมเลกุลที่สามารถเปลี่ยนรหัสส่วนประกอบของไวรัสได้)

ยาเอฟาวิเรนซ์ไม่มีผลต่อเชื้อ HIV ชนิดที่ 2 เนื่องจากโครงสร้างของเชื้อ HIV ชนิดที่ 2 ที่แตกต่างจากชนิดที่ 1 ซึ่งมีการต่อต้านภายในต่อกลุ่มยายับยั้ง NNRTI ทำให้เชื้อไวรัสที่ดื้อต่อยาเอฟาวิเรนซ์ ก็จะดื้อต่อยากลุ่ม NNRTI อื่นๆ ด้วย

ขนาดยาเอฟาวิเรนซ์ ในผู้ใหญ่คือ 600 มิลลิกรัมต่อวัน โดยยปกติจะให้ก่อนนอน หรือ 800 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อ่ให้ร่วมกับยา Rifampicin ซึ่งเป็นการรักษาร่วมกับยาวัณโรคต่อไป

แหล่งข้อมูล

  1. Efavirez - http://en.wikipedia.org/wiki/Efavirenz [2013, March 14].