ครั้งแรกของโลก - ไทยพบยีนเสี่ยงดื้อยาต้านเอดส์ (ตอนที่ 1)

โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ค้นพบยีนที่เสี่ยงดื้อต่อยาต้านไวรัสเอดส์ “เอฟาวิเรนซ์” เป็นครั้งแรกของโลก เพราะทำให้ระดับยาในเลือดของผู้ป่วยต่ำเกินไป และได้ขอจดสิทธิบัตรแล้ว อีกทั้งยังเสนอแนะให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ผลิตยา “เอฟาวิเรนซ์” ที่มีขนาด100 - 200 มิลลิกรัม (มก.) ในกรณีที่ต้องปรับขนาดยา โดยไม่แนะนำให้ใช้แบบการแบ่งครึ่งเม็ดยาเพื่อให้ได้ยาเต็มขนาด

โรงพยาบาลรามาธิบดี ยังเสนอ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สิทธิในการรักษาครอบคลุมการตรวจยีนและระดับยาในเลือดด้วย เพราะเกรงว่าจะกระทบระบบสาธารณสุขในภายหลัง

ผศ. ภก. ชลภัทร สุขเกษม หัวหน้าห้องปฏิบัติการเภสัชพันธุศาสตร์ และหัวหน้าสาขาวิชาเภสัชพันธุศาสตร์และการแพทย์เฉพาะบุคคล ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดเผยผลการศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของยีน CYP2B6 ร่วมกับการตรวจวิเคราะห์ระดับยาเอฟาวิเรนซ์ในผู้ป่วยเอชไอวี ว่า

ผู้ป่วยในรายที่มีระดับยาเอฟาวิเรนซ์ในกระแสเลือดสูงกว่าระดับของการรักษา จะมีความเสี่ยงในการเกิดพิษต่อระบบประสาท เนื่องจากร่างกายขับถ่ายยาออกได้น้อย ส่วนผู้ป่วยที่มีระดับยาดังกล่าวต่ำ จะส่งผลต่อประสิทธิผลของการรักษาคือ ยาไม่สามารถไปกดเชื้อไวรัสเอชไอวีในผู้ป่วยได้ และจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเชื้อเอชไอวีทำให้เกิดการดื้อยาในอนาคต

ที่สำคัญหากผู้ป่วยมีโอกาสส่งผ่านเชื้อที่มียีนดื้อยาไปกับผู้ติดเชื้อรายใหม่ จะทำให้ผู้ป่วยรายใหม่นั้นไม่สามารถใช้ยาสูตรพื้นฐานต่อไปได้ ต้องเปลี่ยนเป็นยาสูตรอื่นที่ราคาแพงขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองต่อการรักษา และอาจเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศได้ ผศ.ภก.ชลภัทร กล่าวว่า

“การค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบครั้งแรกของโลก และได้ยื่นตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศไปแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการขอจดสิทธิบัตร การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของยีน ร่วมกับการวิเคราะห์ยาต้านไวรัสเอชไอวี “เอฟาวิเรนซ์” พบการเกิดพิษต่อระบบประสาทในผู้ป่วยที่มีระดับยาในกระแสเลือดสูงกว่าระดับของการรักษา ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า ฝันหลอน นอนไม่หลับ เซื่องซึม ทำงานไม่ได้ รุนแรงที่สุดอาจถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าระดับยาต้านไวรัสเอชไอวี ”เอฟาวิเรนซ์” ในกระแสเลือดของผู้ป่วยจะต่ำหรือสูง ล้วนแต่ส่งผลต่อผู้ป่วยทั้งสิ้น ดังนั้น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) น่าจะพิจารณาผลิตยามาสนับสนุนให้เหมาะสม เช่น การผลิตยาขนาด 100 - 200 มิลลิกรัม ในกรณีที่ต้องปรับขนาดยาจาก 600 มิลลิกรัม เป็น 400 หรือ 800 มิลลิกรัม เพื่อให้สามารถปรับขนาดยาจากลักษณะยีนของผู้ป่วยได้ แต่ไม่ใช่นำเม็ดยามาแบ่งครึ่งเพื่อให้เต็มขนาด เพราะอาจจะทำให้ระดับยาในกระแสเลือดสูงไปจนส่งผลข้างเคียงได้

นอกจากนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรจะให้สิทธิการรักษาครอบคลุมการตรวจยีน CYP2B6 และการตรวจวัดระดับยาในกระแสเลือดด้วย เพื่อติดตามการรักษาของผู้ป่วยให้ได้ระดับยาที่เหมาะสม เพราะหากผู้ป่วยดื้อยาและต้องปรับเปลี่ยนสูตรยาที่ราคาสูงขึ้น จะส่งผลกระทบในวงกว้างทางการสาธารณสุขของประเทศต่อไป

แหล่งข้อมูล

  1. รามาฯเจ๋ง! พบยีนเสี่ยงดื้อยาต้านเอดส์ครั้งแรกของโลก - http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000026901&Keyword=%ca%d2%b8%d2%c3%b3%ca%d8%a2 [2013, March 13].
  2. Efavirez - http://en.wikipedia.org/wiki/Efavirenz [2013, March 13].
  3. CYP2B6 - http://www.ncbi.nlm.nih.gov/gene/1555 [2013, March 13].