ของฝากจากน้ำท่วม (ตอนที่ 14)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 31 มกราคม 2560
- Tweet
นอกจากนี้อาจมีอาการ
- ผื่นกระจาย
- คลื่นไส้และอาเจียน
- เลือดออกที่เหงือกหรือจมูก (พบได้น้อย)
คนส่วนใหญ่จะหายได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการรุนแรง จะทำให้หลอดเลือดถูกทำลายและรั่ว เกล็ดเลือดจะต่ำลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
- เลือดออกทางจมูกและปาก
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- อาเจียนต่อเนื่อง
- เลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งทำให้ดูเหมือนรอยช้ำ (Bruising)
- มีปัญหาที่ปอด ตับ และหัวใจ
ความเสี่ยงของการเป็นไข้เด็งกีที่มีอาการรุนแรงหรือกลายเป็นไข้เลือดออกเด็งกี (Dengue hemorrhagic fever = DHF) จะเพิ่มขึ้น หากมีการติดเชื้อครั้งที่ 2, 3 หรือ 4 โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี
การวินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกีอาจทำได้ยาก เพราะมีอาการคล้ายกับโรคอื่น เช่น โรคมาลาเรีย โรคฉี่หนู และโรคไทฟอยด์ โดยแพทย์มักจะถามถึงประวัติสุขภาพและประวัติการเดินทาง
ในส่วนของการรักษา ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาไข้เด็งกีโดยเฉพาะ (วัคซีนกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา) สำหรับการดูแลเราสามารถ
- ให้ยา Acetaminophen เพื่อลดไข้และแก้ปวด อย่างไรก็ดี ต้องระวังยาแก้ปวดประเภทที่อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกไม่หยุด เช่น ยา Aspirin ยา Ibuprofen และยา Naproxen sodium
- ดื่มน้ำให้มากเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ
- พักผ่อนให้มาก
การป้องกันไข้เด็งกีทำได้ด้วยการลดโอกาสของการถูกยุงกัด ซึ่งได้แก่
- การใส่เสื้อผ้าปกปิด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงเท้า และรองเท้า
- การใช้ยากันยุง (Mosquito repellent)
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงที่มีน้ำขัง
- นอนในห้องที่กันยุง
บรรณานุกรม
1. Dengue fever. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/dengue-fever/basics/definition/con-20032868 [2017, January 29].
2. Dengue. http://www.nhs.uk/conditions/dengue/Pages/Introduction.aspx [2017, January 29].
3. Dengue Fever. http://www.webmd.com/a-to-z-guides/dengue-fever-reference#1 [2017, January 29].