logo

คำถามจาก วิกิยา

Home / FAQ ยา/ ยาโรคซึมเศร้า

คำถามเกี่ยวกับยา

โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล

เรื่อง : ยาโรคซึมเศร้า

ยาโรคซึมเศร้า/ยาต้านเศร้า เป็นยาที่ช่วยปรับระดับสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยให้อยู่ในระดับปกติ จึงสามารถรักษาอาการซึมเศร้า รวมทั้งป้องกันการกลับเป็นซ้ำของอาการซึมเศร้าได้ มีทั้งในรูปของยาเม็ด ยาน้ำ และแผ่นแปะผิวหนัง แต่ยาเหล่านี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 8-12 สัปดาห์หลังใช้ยาถึงจะเห็นผลการรักษาที่ดีขึ้น และหลังจากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว ยังคงต้องกินยาต่อเนื่องอีกเป็นเวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อลดโอกาสกลับมามีอาการซ้ำ โดยแพทย์ผู้รักษาจะค่อยๆ ลดระดับยานี้ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดใช้ยานี้ในที่สุด เพราะการหยุดใช้ยานี้ในทันทีจะทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น กระสับกระส่าย, หงุดหงิด, นอนไม่หลับ เป็นต้น

ก. ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อสารสื่อประสาทซีโรโทนิน (Selective serotonin reuptake inhibitors = SSRIs)

ข. ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาทซีโรโทนินและนอร์เอพิเนฟริน (Serotonin-norepinephrine reuptake inhibitors = SNRIs)

ค. ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาทนอร์เอพิเนฟรินและโดปามีน (Norepinephrine and Dopamine Reuptake Inhibitors = NDRIs)

ง. ยากลุ่ม Tricyclic Antidepressants (TCAs)

จ. ยายับยั้งเอนไซม์โมโนเอมีนออกซิเดส (Monoamine oxidase inhibitors = MAOIs)

ฉ. ยากลุ่มใหม่ที่ไม่สามารถจัดรวมกับกลุ่มอื่นได้ (Atypical antidepressants)

อนึ่ง การเลือกใช้ยาต่างๆ แพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น อายุผู้ป่วย ความรุนแรงของโรค ผลข้างเคียงของยา ลักษณะชีวิตประจำวันของผู้ป่วย เป็นต้น

  1. ระวังการใช้ยาโรคซึมเศร้าร่วมกับยากลุ่มที่กระตุ้นฤทธิ์สารสื่อประสาทซีโรโทนิน (Serotonergic drugs) เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดกลุ่มอาการซีโรโทนิน (Serotonon syndrome = SS) ได้
  2. ยากลุ่ม SSRIs มีคุณสมบัติเป็นตัวยับยั้งการทำงานของเอนไซม์บางตัว จึงมีผลเพิ่มระดับยาอื่นๆ ในเลือด เนื่องจากยาอื่นจะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยเอนไซม์และขับออกจากร่างกายได้น้อยลง ทำให้มีระดับยาในร่างกายมากเกินไป จนอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่สูงขึ้นจากการใช้ยาเหล่านี้ได้
  3. ไม่ควรใช้ยากลุ่ม TCAs ในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะอาจทำให้อาการของโรคแย่ลง เนื่องจากยากลุ่มนี้มีอาการไม่พึงประสงค์คือ ทำให้ความดันโลหิตต่ำและหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  4. ระวังการใช้ยากลุ่ม MAOIs รวมกับอาหารที่มีสารไทรามีน (อาหารที่มีกรดอะมิโนกลุ่ม Tyrosine ซึ่งร่างกายนำไปใช้ในการสร้างสารโปรตีน) สูง เช่น ไวน์ เบียร์ ชีส กล้วย อะโวคาโด อาหารหมักดอง และอาหารที่มียีสต์เป็นส่วนประกอบ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤตได้
  1. ยากลุ่ม SSRIs ทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ท้องผูกหรือท้องเสีย กระสับกระส่าย หงุดหงิด นอนไม่หลับหรือง่วงนอน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ น้ำหนักตัวลด/เพิ่ม
  2. ยากลุ่ม SNRIs ทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ มึนงง นอนไม่หลับ หรือง่วงนอน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ปากแห้ง เหงื่อออกมาก ท้องผูก ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น
  3. ยากลุ่ม TCAs ทำให้เกิดอาการ ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก/ปัสสาวะขัด ปากแห้ง ความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทาง/ความดันโลหิตต่ำเมื่อลุกยืน ง่วงนอน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  4. ยากลุ่ม MAOIs ทำให้ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทาง ง่วงนอน เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ น้ำหนักตัวเพิ่ม นอนไม่หลับ

ทั้งนี้ ต้องใช้ยาเหล่านี้อย่างระมัดระวัง เพราะยาเหล่านี้ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็กและวัยรุ่น